ไปยังหน้า : |
ครั้นพวกเธอยินดีอนุโมทนาดังนั้นแล้ว พึงถามปัญหาให้ยิ่งขึ้นไปว่า "อาวุโส ! ธาตุหกอย่างเหล่านี้มีอยู่ อันพระผู้มีพระภาคผู้รู้ผู้เห็นผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะตรัสไว้แล้วโดยชอบ คือ ปฐวีธาตุ 1 อาโปธาต 1 เตโชธาตุ 1 วาโยธาตุ 1 อากาสธาตุ 1 วิญญาณธาตุ 1. ก็ท่านผู้มีอายุรู้อยู่อย่างไร เห็นอยู่อย่างไร จิตของท่านจึงหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ยึดมั่นในธาตุทั้งหกอย่างเหล่านี้ ?" ดังนี้.
ภิกษุ ท.! ถ้าภิกษุนั้นเป็นขีณาสพ มีพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว มีกิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว มีภาระปลงลงได้แล้ว มีประโยชน์ตนอันตามลุถึงแล้ว มีสังโยชน์ในภพสิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ จริง, ธรรมที่ภิกษุนั้นสมควรพยากรณ์ ย่อมมีอย่างานี้ว่า "อาวุโส! ข้าพเจ้าเข้าถึงปฐวีธาตุโดยความเป็นอนัตตา และไม่เข้าถึงธรรมอันอาศัยปฐวีธาตุว่าเป็นอัตตา แล้ว และข้าพเจ้ารู้ชัดว่า' จิตของข้าพเจ้าหลุดพ้นแล้วเพราะความสิ้น เพราะความจางคลาย เพราะความดับ เพราะความสละทิ้ง เพราะความสลัดคืน ซึ่งความเคยชิน (อนุสัย) แห่งการตั้งทับและการฝังตัวเข้าไปแห่งจิตเพราะความยึดมั่นด้วยอุปาทานอันอาศัยปฐวีธาตุ เหล่านั้น' (ในกรณีแห่ง อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ อากาสธาตุ และวิญญาณธาตุ ก็มีข้อความโต้ตอบอย่างเดียวกันกับในกรณีแห่งปฐวีธาตุนี้ จนกระทั่งถึงคำว่า ....จิตของข้าพเจ้าหลุด พ้้นแล้วเพราะ .... ความสลัดคืน ซึ่งความเคยชิน (อนุสัย) แห่งการตั้งทับและการฝังตัวเข้าไปแห่งจิตเพราะความยึดมั่นด้วยอุปาทานอันอาศัยปฐวีธาตุเหล่านั้น.') อาวุโส ! เมื่อข้าพเจ้ารู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ จิตของข้าพเจ้าจึงหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ยึดมั่นในธาตุทั้งหกอย่างเหล่านี้". ภิกษุ ท.! พวกเธอพึงยินดีอนุโมทนาในคำกล่าวของภิกษุนั้ว่า สาธุ.