ไปยังหน้า : |
ภิกษุ ท.! เรานั้น, ครั้นเมื่อจิตตั้งมั่น บริสุทธิ์ผุดผอง ไมมีกิเลสปราศจากอุปกิเลส เปนธรรมชาติออนโยน ควรแกการงาน ตั้งอยูได ไมหวั่นไหว เชนนี้แลว, ไดนอมจิตไปเฉพาะตอ ญาณเปนเครื่องสิ้นไปแหงอาสวะทั้งหลายเรารูเฉพาะแลวตามเปนจริงวา "นี้เปนทุกข, นี้เปนเหตุใหเกิดทุกข, นี้เปนความดับไมเหลือของทุกข, และนี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของทุกข; เหลานี้เปนอาสวะทั้งหลาย, นี้เปนเหตุใหเกิดอาสวะ, นี้เปนความดับไมเหลือของอาสวะ, และนี้เปนทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือของอาสวะ;" ดังนี้. เมื่อเรารูอยูอยางนี้ เห็นอยูอยางนี้ จิตก็พนแลวจากอาสวะคือกาม อาสวะคือภพ อาสวะคืออวิชชา. ครั้นจิตพนแลว ก็เกิดญาณหยั่งรู วา "พนแลว" เรารูเฉพาะแลว วา "ชาติสิ้นแลว พรหมจรรยอยูจบแลว กิจที่ควรทําไดทําสําเร็จแลวกิจอื่นที่จะตองทําเพื่อความหลุดพนอยางนี้มิไดมีอีก" ดังนี้. ภิกษุ ท.! นี้แล วิชชาที่สาม ที่เราไดบรรลุแลวในปจฉิมยามแหงราตรี. อวิชชาถูกกําจัดแลววิชชาเกิดขึ้นแลว; ความมืดถูกกําจัดแลว ความสวางเกิดขึ้นแลวโดยประการที่เกิดขึ้นแกบุคคลผูไมประมาท มีความเพียรเผากิเลส มีตนสงไปแลวแลอยู.
- มู. ม. 12/237/253.