ไปยังหน้า : |
สาติ ! จริงหรือ ตามที่ได้ยินว่า เธอมี ทิฏฐิอันลามก เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ว่า “เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า วิญญาณนี้นี่แหละ ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป, หาใช่สิ่งอื่นไม่” ดังนี้ ?
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้าพระองค์ย่อมรู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วเช่นนั้นว่า ‘วิญญาณนี้นี่แหละ ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป, หาใช่สิ่งอื่นไม่’ ดังนี้”.
สาติ ! วิญญาณนั้น เป็นอย่างไร ?
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! นั่นคือสภาพที่เป็นผู้พูด ผู้รู้สึก (ต่อเวทนา) ซึ่งเสวยวิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่ว ท. ในภพนั้น ๆ”.
โมฆบุรุษ ! เธอรู้ทั่วถึงธรรมที่เราแสดงแล้วอย่างนี้ เมื่อแสดงแก่ใครเล่า. โมฆบุรุษ ! เรา กล่าววิญญาณ ว่าเป็นปฏิจจสมุปปันนธรรม (สิ่งที่อาศัยปัจจัยแล้วเกิดขึ้น) โดยปริยายเป็นอันมาก ; ถ้า เว้นจากปัจจัยแล้ว ความเกิดแห่งวิญญาณ มิได้มี ดังนี้มิใช่หรือ. โมฆบุรุษ ! เมื่อเป็นอย่างนั้น เธอชื่อว่า ย่อมกล่าวตู่เราด้วยถ้อยคำที่ตนเองถือเอาผิดด้วย ย่อมขุดตนเองด้วย ย่อมประสบสิ่งมิใช่บุญเป็นอันมากด้วย ; โมฆบุรุษ ! ข้อนั้นแหละ จักเป็นไปเพื่อความทุกข์ ไม่เกื้อกูลแก่เธอตลอดกาลนาน ดังนี้.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุ ท. แล้วตรัสว่า :-
ภิกษุ ท. ! พวกเธอจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร : ภิกษุสาติเกวัฏฏบุตรนี้ ยังจะพอนับว่าเป็นพระเป็นสงฆ์ ในธรรมวินัยนี้ได้บ้างไหม ?
“จะเป็นได้อย่างไร พระเจ้าข้า ! หามิได้เลย พระเจ้าข้า !”
เมื่อภิกษุ ท. ทูลอย่างนี้แล้ว ภิกษุสาติผู้เกวัฏฏบุตร ก็เงียบเสียง เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา ไม่มีปฏิภาณ นิ่งอยู่. พระผู้มีพระภาคทอดพระเนตรเห็นดังนั้นแล้ว ได้ตรัสว่า :-
โมฆบุรุษ ! เธอจักปรากฏด้วยทิฏฐิอันลามกนั้นของตนเองแล ; เราจักสอบถามภิกษุ ท. ในที่นี้. (แล้วทรงสอบถามภิกษุ ท. จนเป็นที่ปรากฏว่า พระองค์มิได้แสดงธรรมดังที่สาติภิกษุกล่าว แล้วทรงแสดง การเกิดขึ้นแห่งวิญญาณ โดยอาการแห่งปฏิจจสมุปบาท ครบทั้ง 6 อายตนะ).
- มู. ม. ๑๒/๔๗๕ - ๔๗๗/๔๔๒ - ๔๔๔.