ไปยังหน้า : |
ภิกษุ ท. ! อริยสาวก เจริญอยู่ด้วยความเจริญ 10 อย่าง ชื่อว่า ย่อมเจริญด้วย ความเจริญของพระอริยเจ้า ด้วย และเป็นผู้ ถือเอาแก่นสารและความประเสริฐทางฝ่ายกาย (วัตถุ) ได้ด้วย. 10 อย่าง อย่างไรเล่า ? 10 อย่างคือ :-
ย่อมเจริญด้วยนาและสวน,
ย่อมเจริญด้วยทรัพย์และข้าวเปลือก,
ย่อมเจริญด้วยบุตรและภรรยา,
ย่อมเจริญด้วยทาสและกรรมกรที่เต็มขนาดแห่งบุรุษ,
ย่อมเจริญด้วยสัตว์ 4 เท้า,
ย่อมเจริญด้วยสัทธา,
ย่อมเจริญด้วยศีล,
ย่อมเจริญด้วยสุตะ,
ย่อมเจริญด้วยจาคะ,
ย่อมเจริญด้วยปัญญา.
ภิกษุ ท. ! อริยสาวก เจริญอยู่ด้วยความเจริญ 10 อย่างเหล่านี้แล ชื่อว่าย่อมเจริญด้วยความเจริญของพระอริยเจ้าด้วย และเป็นผู้ถือเอาแก่นสารและความประเสริฐทางฝ่ายกายได้ด้วย.
( คาถาผนวกท้ายพระสูตร )
บุคคลใดในโลกนี้ ย่อมเจริญด้วยทรัพย์ ข้าวเปลือก บุตร ภรรยา และสัตว์สี่เท้า, บุคคลนั้น ย่อมเป็นผู้มีโชค มียศ เป็นที่บูชาของญาติมิตรและแม้ของพระราชา.
บุคคลใดในโลกนี้ ย่อมเจริญด้วยสัทธา ศีล ปัญญา จาคะ สุตะ อันเป็นความเจริญทั้งสองฝ่าย, บุคคลเช่นนั้น เป็นสัตบุรุษ มีปัญญาเห็นโดยประจักษ์ ย่อมเจริญด้วยความเจริญทั้งสองฝ่าย ในทิฏฐธรรมนี้, ดังนี้แล.
- ทสก. อํ. ๒๔/๑๔๖/๗๔.
(พระบาลีนี้แสดงให้เห็นว่า คนเราสามารถเจริญพร้อมกันไปได้ทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายธรรม ไม่ควรถูกล้อว่าขนมปังแผ่นเดียวทาเนยทั้งสองหน้า ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดของบุคคลผู้รู้จักชีวิตเพียงด้านเดียว จนกระทั่งพูดกันว่าถ้ารวยแล้วเป็นต้องโกง ไม่อาจจะมีธรรมะได้ หรือถ้ามีธรรมะแล้วจะรวยไม่ได้. พระบาลีนี้แสดงให้เห็นว่า ความเจริญ 5 อย่างข้างต้น เป็นความเจริญทางโลกหรือทางวัตถุ ความเจริญ 5 อย่างตอนหลังเป็นความเจริญทางธรรม ทางจิต ทางวิญญาณ ซึ่งมีทางที่จะสูงขึ้นไปได้ จนถึงการบรรลุมรรคผล หรืออย่างน้อยก็เป็นอริยบุคคลซึ่งเที่ยงแท้ต่อการบรรลุมรรคผล).