3. เมื่อเฉไปติดบ่วงทิฏฐิ

(ตอไปนี้ไดตรัสถึงฝูงเนื้อพวกที่สาม ซึ่งเปรียบกันไดกับสมณพราหมณจําพวกที่สามสืบไปวา :-)

ภิกษุ ท.! ฝูงเนื้อพวกที่สาม (รูความวินาศของเนื้อจําพวกที่หนึ่งและจําพวกที่สอง โดยประการทั้งปวงแลว) มาคิดกันวา ถาอยางไร เราอาศัยที่ซุมซอนอยูใกล ๆ สวนผัก ของเจาของผักนั้น ครั้นอาศัยที่ซุมซอนอยูใกล ๆ สวนผักนั้นแลว ก็ไมเขาไปกินผักนั้นอยางลืมตัว เมื่อไมเขาไปกินอยางลืมตัวอยูก็ไมถึงซึ่งความเลินเลอ เมื่อไมเลินเลออยูก็ถึงซึ่งความไมประมาท เมื่อไมประมาทก็ไมเปนสัตวที่ใคร ๆ จะพึงทําอะไร ๆ ไดตามความพอใจในสวนผักของเจาของผักนั้น" ดังนี้. ฝูงเนื้อเหลานั้น (ก็ประพฤติกระทําความคิดนั้น). ภิกษุ ท.! ความคิดไดเกิดแกเจาของสวนผักกับบริวารเหลานั้นวา "ฝูงเนื้อพวกที่สามเหลานี้คงจะมีเลหเหลี่ยมกลโกงเหมือนมีฤทธิ์เปนแน ฝูงเนื้อพวกที่สามนี้ คงจะเปนสัตวพิเศษชนิดอื่นเปนแน มันจึงมากินผักที่เราปลูกนี้ได. และเราก็ไมเขาใจการมาการไปของมัน. ถากระไรเราพึงลอมซึ่งที่นั้นโดยรอบ ดวยเครื่องลอมชนิดทัณฑวาคุระใหญ ๆ ทั้งหลาย เราคงจะไดเห็นที่ซุมซอนของฝูงเนื้อพวกที่สาม อันเปนที่ซึ่งมันแอบเขามากิน" ดังนี้ ชนเหลานั้นไดทําการลอมพื้นที่ปลูกผักนั้นโดยรอบดวยเครื่องลอมชนิดทัณฑวาคุระใหญ ๆ ทั้งหลายแลว. ภิกษุ ท.! เจาของสวนผัก และบริวารก็หา พบที่ซุมซอนของฝูงเนื้อพวกที่สาม อันเปนที่ซึ่งมันแอบเขามากิน. ภิกษุ ท.! ดวยอาการอยางนี้แล ฝูงเนื้อแมพวกที่สามนั้น ก็ไมพนไปจากกํามือของเจาของสวนผัก.

(พระผูมีพระภาคเจาไดทรงยกเอาสมณพาหมณจําพวกที่สาม มาเปรียบกับฝูงเนื้อจําพวกที่สาม ดังนี้วา :-)

ภิกษุ ท.! บรรดาสมณพราหมณทั้งหลาย สมณพราหมณจําพวกที่สาม (รูความวินาศของสมณพรามหมณจําพวกที่หนึ่งและที่สอง โดยประการทั้งปวงแลว) มาคิดกันวา "ถากระไร เราจะ อาศัยที่ซุมซอนอยูใกลๆ โลกามิสซึ่งเปรียบเสมือนสวนผักของมาร ครั้นอาศัยอยูในที่ซุมซอนนั้นแลว จัก ไมเขาไปบริโภคโลกามิส อันเปนเสมือนสวนผักแหงมารนั้น อยางลืมตัว ครั้นไมเขาไปบริโภคอยางลืมตัวอยู ก็ไมถึงซึ่งความมัวเมา เมื่อไมมัวเมาอยูก็ไมถึงซึ่งความประมาท เมื่อไมประมาทอยู่ก็เปนผูที่มารจะพึงกระทําตามความพอใจไมได อยูในโลกามิสอันเปนเสมือนสวนผักแหงมารนั้น" ดังนี้. สมณพราหมณเหลานั้น (ก็ไดประพฤติกระทําตามความคิดนั้น;) ก็แตวาสมณพราหมณเหลานั้นไดเปนผูมีทิฏฐิ ขึ้นมาแลวอยางนี้วา "โลกเที่ยง" ดังนี้บาง; วา "โลกไมเที่ยง" ดังนี้บาง; วา "โลกมีที่สุด" ดังนี้บาง; วา "โลกไมมีที่สุด" ดังนี้บาง; วา "ชีวะก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น"ดังนี้บาง; วา "ชีวะก็อันอื่น สรีระก็อันอื่น" ดังนี้บาง; วา "ตถาคตภายหลังแตตายแลวยอมมีอีก" ดังนี้บาง; วา "ตถาคตภายหลังแตตายแลว ยอมไมมีอีก" ดังนี้บาง; วา "ตถาคตภายหลังแตตายแลว ยอมมีอีกก็มีไมมีอีกก็มี” ดังนี้บาง.; วา “ตถาคตภายหลังแตตายแลว ยอมมีอีกก็หามิไดไมมีอีกก็หามิได” ดังนี้บาง ภิกษุ ท.! ดวยอาการอยางนี้แล สมณพราหมณแมพวกที่สามนี้ ก็ไมพนไปจากอิทธานุภาพแหงมาร. ภิกษุ ท.! เรากลาวสมณพราหมณพวกที่สามนี้วามีอุปมาเหมือนฝูงเนื้อพวกที่สามนั้น, ฉันใดก็ฉันนั้น.


เกี่ยวกับธรรมโฆษณ์ออนไลน์ (Disclaimer)
แม้ระบบ "ธรรมโฆษณ์ออนไลน์" พยายามปรับปรุงข้อมูลให้ถูกต้องมากที่สุด ผู้ศึกษาก็พึงตรวจสอบกับตัวเล่มหนังสือต้นฉบับ ที่มีการพิมพ์ครั้งล่าสุด ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง"

หนังสือที่เกี่ยวข้อง