ไปยังหน้า : |
(ตามธรรมชาติมนุษยแตละคนมีสิ่งที่เราเรียกวาความจริง ที่เขาถือเปนหลักประจําตัวของเขาอยูดวยกันทั้งนั้น แลวแตวาเขาไดทําใหมันเกิดขึ้นในใจของเขาอยางไร ซึ่งอยากที่จะเปลี่ยนแปลงได. แตวาความจริงชนิดนี้ยังไมใชความจริงที่เด็ดขาด ยังไมสูงสุด ยังใชเปนประโยชนในขั้นสูงสุดไมได. ดังนั้นความจริงนั้น จะตองถูกปรับปรุงใหชัดเจนแจมแจงยิ่งขึ้นไปจนกวาจะกลายเปนความจริงที่ใชใหสําเร็จประโยชนไดจริง โดยวิธีพระพุทธองคไดตรัสไวอยางนาอัศจรรย; กลาวคือไมยึดมั่นถือมั่นความจริงอันดับแรกนั้น แตหลอเลี้ยงมันไวในลักษณะที่มันจะพิสูจนความเปนของจริงออกมาในตัวการปฏิบัตินั้นเอง.
ในพระพุทธภาษิตที่ทรงแนะนําไวอยางยืดยาวนี้ จําเปนที่จะตองแบงออกเปน ๔ ตอน คือ ลักษณะของความจริง ที่ชาวโลกจะไดมาตามธรรมชาติ ซึ่งยังไมเปนความจริงแท ยังจะตองเปลี่ยนไปตามเหตุตามปจจัย นี้ตอนหนึ่ง, การหลอเลี้ยงความจริงอันนั้นไว ใหมีโอกาสพิสูจนความจริงที่ยิ่งขึ้นไป นี้ตอนหนึ่ง, การแสวงหาความจริง จากบุคคลที่กําลังปฏิบัติความจริงที่ตนประสงคจะรูใหแนชัด นี้ตอนหนึ่ง, เมื่อไดความแนชัดมาแลว ตนเองที่ปฏิบัติตามหลักเกณฑอันนั้น จนพบความจริงนั้นดวยตนเองโดยประจักษ ไมตองคาดคะเน ไมตองคํานวณ ไมตองเชื่อตามผูอื่นอีกตอไป นับวาเปนการเขาถึงหัวใจแหงควมจริงในกรณีนั้น เปนตอนสุดทาย.
ต่อไปนี้เปนพระพุทธภาษิตที่ตรัสปรารภ ความจริงที่เปนไปตามภาษาชาวโลก ตามธรรมชาติ :-)