ไปยังหน้า : |
ภิกษุ ท.! คําที่เรากลาววา "พึงรูจักทางไป (แหงจิต) ของสัตว ๓๖ อยาง" ดังนี้นั้น, ขอนั้น เรากลาวอาศัยหลักเกณฑอะไรเลา ? ภิกษุ ท.! ขอนั้น เรากลาวอาศัยหลักเกณฑคือ ความโสมนัสเนื่องดวยเหยาเรือน ๖ อยาง, ความโสมนัสเนื่องดวยการหลีกออกจากเหยาเรือน ๖ อยาง, ความโทมนัสเนื่องดวยเหยาเรือน ๖ อยาง, ความโทมนัสเนื่องดวยการหลีกออกจากเหยาเรือน ๖ อยาง, อุเบกขาเนื่องดวยเหยาเรือน ๖ อยาง, อุเบกขาเนื่องดวยการหลีกออกจากเหยาเรือน ๖ อยาง.
ภิกษุ ท.! ในเวทนาทั้งหลายเหลานั้น, ความโสมนัสเนื่องดวยเหยาเรือน ๖ อยาง เปนอยางไรเลา ? ภิกษุ ท.! เมื่อคนเรามองเห็นการไดซึ่ง รูป อันนาปรารถนา นารักใคร นาพอใจ นารื่นรมยใจ อันเนื่องในความเปนเหยื่อโลก ในทางตา วา เปนสิ่งที่ตนกําลังไดอยูก็ตาม, หรือวาเมื่อระลึกถึงรูป เชนนั้น อันตนเคยไดแลวแตกาลกอน ซึ่งลวงแลว ดับสิ้น แปรปรวนไปแลวก็ตาม แลวเกิดความโสมนัส ขึ้น . ความโสมนัสใด มีลักษณะเชน นี้ความโสมนัสนี้ เรียกวา ความโสมนัสเนื่องดวยเหยาเรือน (เคหสิตโสมนัส). (ในกรณีที่เกี่ยวกับ เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ อีก ๕ อยาง ก็ตรัสทํานองเดียวกับ ขอ วา รูป ผิด กันแตชื่อเทานั้น ). ภิกษุ ท .! เหลานี้คือ ความโสมนัสเนื่องดวยเหยาเรือน ๖ อยาง.
ภิกษุ ท.! ในเวทนาทั้งหลายเหลานั้น, ความโสมนัสเนื่องดวยการหลีกออกจากเหยาเรือน ๖ อยาง เปนอยางไรเลา ? ภิกษุ ท.! เมื่อคนเรารูแจงถึงความเปนของไมเที่ยงของรูปทั้งหลาย ความแปรปรวน ความจางคลายความกําหนัดยินดี และความดับไมเหลือของรูปทั้งหลาย เห็นอยูดวยปญญาอันชอบ ตรงตามที่เปนจริงอยางนี้ วา "รูปทั้งหลาย ในกาลกอนหรือในบัดนี้ก็ตามรูปทั้งหมดเหลานั้น เปนของไมเที่ยง เปนทุกข มีความแปรปรวนเปนธรรมดา" ดังนี้ แลวเกิดความโสมนัส ขึ้น. ความโสมนัสใด มีลักษณะเชนนี้ ความโสมนัสนี้ เรียกวา ความโสมนัสเนื่องดวยการหลีกออกจากเหยาเรือน (เนกขัมมสิตโสมนัส). (ในกรณีที่เกี่ยวกับ เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ อีก ๕ อยาง ก็ตรัสทํานองเดียวกับ ขอ วา รูป ผิดกันแตชื่อเทานั้น). ภิกษุ ท.! เหลานี้คือ ความโสมนัสเนื่องดวยการหลีกออกจากเหยาเรือน ๖ อยาง.
ภิกษุ ท.! ในเวทนาทั้งหลายเหลานั้น, ความโทมนัสเนื่องดวยเหยาเรือน ๖ อยาง เปนอยางไรเลา ? ภิกษุ ท.! เมื่อคนเรามองเห็นการไมได ซึ่งรูปอันนาปรารถนา นารักใคร นาพอใจ นารื่นรมยใจ อันเนื่องในความเปนเหยื่อโลกในทางตา วา เปนสิ่งที่ตนไมไดก็ตาม, หรือวา เมื่อระลึกถึงรูปเชนนั้น อันตนยังไม่เคยได้แตกาลกอน ซึ่งล่วงลับ ดับ สิ้น แปรปรวนไปแลวก็ตาม แลวเกิดความโทมนัสขึ้น. ความโทมนัสใดมีลักษณะเชนนี้ ความโทมนัสนี้ เรียกวา ความโทมนัสเนื่องดวยเหยาเรือน (เคหสิตโทมนัส). (ในกรณีที่เกี่ยวกับ เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ อีก ๕ อยาง ก็ตรัสทํานองเดียวกับ ขอวารูปผิดกัน แตชื่อเทานั้น). ภิกษุ ท .! เหลานี้คือ ความโทมนัสเนื่องดวยเหยาเรือน ๖ อยาง.
ภิกษุ ท.! ในเวทนาทั้งหลายเหลานั้น, ความโทมนัสเนื่องดวยการหลีกออกจากเหยาเรือน ๖ อยาง เปนอยางไรเลา? ภิกษุ ท.! เมื่อคนเรารูแจงถึงความเปนของไมเที่ยงของรูปทั้งหลาย ความแปรปรวน ความจางคลายความกําหนัดยินดี และความดับไมเหลือของรูปทั้งหลาย เห็นอยูดวยปญญาอันชอบตรงตาที่เปนจริงอยางนี้ วา "รูปทั้งหลาย ในกาลกอนหรือในบัดนี้ ก็ตามรูปทั้งหมดเหลานั้นเปนของไมเที่ยง เปนทุกข มีความแปรปรวนเปนธรรมดา" ดังนี้แลว เขา ยอมเขาไปตั้งไว ซึ่งความกระหยิ่ม ในอนุตตรวิโมกขทั้งหลายวา "เมื่อไรหนอ ! เราจักเขาถึงอายตนะนั้น แลวแลอยู อันเปนอายตนะ ที่พระอริยเจาทั้งหลาย เขาถึงซึ่งอายตนะนั้นแลวแลอยู ในบัดนี้" ดังนี้. เมื่อเขาเขาไปตั้งไว ซึ่งความกระหยิ่ม ในอนุตตรวิโมขทั้งหลายอยู่ดังนี้ ยอมเกิดความโทมนัส ขึ้น เพราะความกระหยิ่มนั้นเปนปจจัย. ความโทมนัสใด มีลักษณะเชนนี้ ความโทมนัสนี้ เรียกวาความโทมนัสเนื่องดวยการหลีกออกจากเหยาเรือน (เนกขัมมสิตโทมนัส ) (ในกรณีที่เกี่ยวกับ เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะและธรรมารมณ อีก ๕ อยาง ก็ตรัสทํานองเดียวกับขอวา รูป ผิดกันแตชื่อเทานั้น). ภิกษุ ท.! เหลานี้คือ ความโทมนัสเนื่องดวยการหลีกออกจากเหยาเรือน ๖ อยาง.
ภิกษุ ท.! ในเวทนาทั้งหลายเหลานั้น, อุเบกขาเนื่องดวยเหยาเรือน (เคหสิตอุเบกขา) ๖ อยาง เปนอยางไรเลา ? ภิกษุ ท.! เพราะเห็นรูปดวยตาแลวอุเบกขาก็เกิดขึ้นแกคนพาล ผูหลง ผูเขลา ผูบุถุชน ผูยังไมชนะกิเลส ผูยังไมชนะวิบาก ผูไมเห็นโทษ ผูไมไดยินไดฟง. อุเบกขาใด ซึ่งเปนอุเบกขาของบุถุชน อุเบกขานั้น ไมอาจจะเปนไปลวง ซึ่งวิสัยแหงรูป เพราะเหตุนั้นเราเรียกอุเบกขานั้น วา อุเบกขาเนื่องดวยเหยาเรือน. (ในกรณีที่เกี่ยวกับ เสียงกลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ อีก ๕ อยาง ก็ตรัสทํานองเดียวกับขอวา รูป ผิดกันแตชื่อเรียกเทานั้น). ภิกษุ ท.! เหลานี้คือ อุเบกขาเนื่องดวยเหยาเรือน ๖ อยาง.
ภิกษุ ท.! ในเวทนาทั้งหลายเหลานั้น, อุเบกขาเนื่องดวยการหลีกออกจาเหยาเรือน ๖ อยาง เปนอยางไรเลา ? ภิกษุ ท.! เมื่อคนเรารูแจงถึงความเปนของไมเที่ยงขอรูปทั้งหลาย ความแปรปรวน ความจางคลายความกําหนดยินดี และความดับไมเหลือของรูปทั้งหลาย เห็นอยูดวยปญญาอันชอบตรงตามที่เปนจริงอยางนี้วา "รูปทั้งหลาย ในกาลกอน หรือในบัดนี้ ก็ตามรูปทั้งหมดเหลานั้น เปนของไมเที่ยง เปนทุกข มีความแปรปรวนเปนธรรมดา" ดังนี้ แลวเกิดอุเบกขาขึ้น. อุเบกขาใด มีลักษณะเชนนี้ อุเบกขานั้น ไมอาจจะเปนไปลวง ซึ่งวิสัยแหงรูป เพราะเหตุนั้น เราเรียกอุเบกขานั้น วาอุเบกขาเนื่องดวยการหลีกออกจากเหยาเรือน (เนกขัมมสิตอุเบกขา). (ในกรณีที่เกี่ยวกับ เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ อีก ๕ อยาง ก็ตรัสทํานองเดียวกับขอวารูปผิดกันแตชื่อเรียกเทานั้น). ภิกษุ ท.! เหลานี้คือ อุเบกขาเนื่องดวยการหลีกออกจากเหยาเรือน ๖ อยางแล.
ภิกษุ ท.! คําใดที่เรากลาววา "พึงรูจักทางไป (แหงจิต) ของสัตว ๓๖ อยาง" ดังนี้นั้น, คํานั้น เรากลาวอาศัยความขอนี้แล.
- อุปริ. ม. 14/402-405/624-630.